Would you like to visit another country's site?

การจัดการสินค้าคงคลัง กับธุรกิจยุคใหม่ การจัดการสินค้าคงคลัง คือการวางแผน ดูแล และควบคุมทรัพย์สินที่ยังไม่ได้ขาย เพื่อรักษาปริมาณสินค้า
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อความต้องการธุรกิจ

การจัดการสินค้าคงคลังคืออะไร

การดูแล วางแผน และบริหารทรัพย์สินที่ยังไม่ได้ขาย เช่น สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ และสต๊อกสินค้า โดยมีเป้าหมาย
เพื่อควบคุมการไหลเวียนของสินค้า ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดเก็บ จนถึงการขาย ช่วยลดภาระจากการเก็บสต๊อก
มากเกินจำเป็น ทำให้สินค้ามีจำหน่ายได้เพียงพอต่อความต้องการ และช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) สำหรับธุรกิจ

ประเภทการจัดการสินค้าคงคลังมีอะไรบ้าง?

1. Just-in-Time (JIT)

การจัดการสินค้าคงคลังแบบ Just-in-Time (JIT) ช่วยให้คุณสั่งซื้อสินค้าได้ทันเวลาก่อนที่จะถึงเวลาต้องใช้จริง
วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนการเก็บสต็อก เนื่องจากไม่ต้องเก็บสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นวิธีที่ดีในการรับประกัน
ว่าสินค้าจะสดใหม่ แต่ต้องอาศัยการกำหนดเวลาที่แม่นยำและซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต็อก

2. การวิเคราะห์ ABC

การวิเคราะห์แบบ ABC เป็นวิธีจัดหมวดหมู่สินค้าคงคลังตามความสำคัญ โดยแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
สินค้า A: เป็นสินค้าขายดีที่สร้างรายได้สูงสุด จำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สินค้า B: ผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญปานกลาง ขายได้สม่ำเสมอแต่สร้างรายได้น้อยกว่าสินค้า A
สินค้า C: สินค้าที่มีความสำคัญน้อยที่สุด มักเป็นสินค้าราคาถูกและขายไม่บ่อย

3. Dropshipping

เป็นวิธีที่คุณไม่ต้องเก็บสินค้าไว้ในสต็อก เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ คุณจะซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์บุคคลที่สาม
ซึ่งจะจัดส่งตรงถึงลูกค้าโดยตรง ด้วยวิธีนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บหรือการจัดการสินค้าเอง

4. เข้าก่อนออกก่อน (FIFO)

FIFO (First-in, First-out) สินค้าที่เข้าก่อนจะถูกขายก่อน
เหมาะสำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย ช่วยให้ขายสินค้าก่อนหมดอายุ และมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ส่งถึงลูกค้าจะสดใหม่

1. Just-in-Time (JIT),2. การวิเคราะห์ ABC,3. Dropshipping,4. การจัดส่งจำนวนมาก,5. เข้าก่อนออกก่อน (FIFO)

ประโยชน์ของการจัดการสินค้าคงคลัง

1. การลดต้นทุนและการปรับปรุงประสิทธิภาพ

การมีวิธีการจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะสมที่สุดช่วยให้บริษัทลดต้นทุนการถือครอง ลดความเสี่ยงจากการขาดสต็อกสินค้า
และปรับปรุงกระบวนการในห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนโดยรวม
และยกระดับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจ

2. การเพิ่มประสิทธิภาพระดับสต๊อกสินค้า

ด้วยวิธีการต่างๆ ในการจัดการสินค้าคงคลัง เช่น การพยากรณ์ความต้องการ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง
ธุรกิจสามารถรักษาระดับสต๊อกให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามความต้องการ ช่วยลดปริมาณสินค้าคงคลังส่วนเกิน
และใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

3. ลดปัญหาสินค้าขาดและสินค้าล้นสต็อก

เมื่อดำเนินธุรกิจ ความสามารถในการลดปัญหาสินค้าขาดสต็อกและลดสต็อกส่วนเกินถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาระดับสินค้าคงคลัง
ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การใช้กลยุทธ์การบริหารสต็อกสินค้าชั้นนำบางประการยังช่วยบรรเทาความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

กลยุทธ์การบริหารสินค้าคงคลังตามฐานลูกค้าช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า ผ่านการตอบสนองต่อคำสั่งซื้อ
และการมีสินค้าพร้อมจำหน่ายตรงตามเวลา ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจในที่สุด

5. การปรับปรุงกระบวนการทำงาน

การใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลในกลยุทธ์การจัดการสินค้าคงคลัง ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการและใช้ทรัพยากร
ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

การจัดการสินค้าคงคลัง คือ การควบคุมและจัดการให้ธุรกิจมีสินค้าปริมาณสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการ

วิธีการจัดการสินค้าคงคลัง สำหรับธุรกิจ

1. กำหนดปริมาณสินค้าคงคลังที่เหมาะสมกับธุรกิจ

การกำหนดปริมาณสินค้าคงคลังที่เหมาะสมกับธุรกิจ สามารถทำได้ด้วยการจดบันทึกสินค้าเข้า
และออกในคลัง โดยรวบรวมการเบิกจ่ายในอดีต ควบคู่ไปกับการดูยอดขาย เพื่อให้มีสต๊อกเพียงพอ
ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค

2. มีการวางแผนการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ดี

การคำนวณค่าปริมาณการสั่งซื้อที่มีต้นทุนต่ำที่สุด สามารถทำได้โดยหาค่า Economic Order Quantity
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า EOQ ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลาย และใช้กันมานาน เพราะเป็นการคำนวณหาปริมาณ
การสั่งซื้อที่ทำให้ประหยัดทั้งต้นทุนในการสั่งซื้อ และต้นทุนในการเก็บรักษา และบอกถึงปริมาณ
ที่ควรสั่งซื้อจำนวนเท่าใดจึงจะประหยัดที่สุด

3. หาจุดหรือวงรอบเวลาการสั่งซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบที่ต้องใช้

การหาจุดหรือวงรอบเวลาที่ต้องสั่งซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าใหม่ เป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องทำ
เพราะเป็นจุดที่ใช้เตือนสำหรับการสั่งซื้อในรอบถัดไป เพื่อไม่ให้เกิดการค้างของสินค้าคงคลัง
ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวนั่นเอง

4. เจรจาต่อรองขอส่วนลดเมื่อซื้อปริมาณวัตถุดิบจำนวนมาก

ผู้ประกอบการที่ใช้วัตถุดิบใดอย่างสม่ำเสมอ และทราบปริมาณการใช้ที่แน่นอนของตนเอง
ควรจะเจรจากับผู้ขายโดยตกลงด้วยตัวเลขของปริมาณการใช้วัตถุดิบนี้ทั้งปี แต่จะต้องให้ผู้ขาย
ทยอยส่งของให้ทุกเดือนแทน โดยทำสัญญาเป็นรายปีเพื่อได้ส่วนลดมากขึ้น

5. บริหารจัดการสินค้าคงคลังไม่ให้มีสินค้าคงคลังที่ไม่มีการเคลื่อนไหว

การมีสินค้าคงคลังที่ไม่มีการเคลื่อนไหวในระยะเวลานาน ถือเป็นปัญหาที่หลาย ๆ ธุรกิจต้องประสบ
จึงจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ให้สินค้าเหล่านั้น
ถูกจำหน่ายออกไปไม่ว่าทางใดหรือทางหนึ่ง รวมไปถึงประเมินถึงความเป็นไปได้ในการตัดสต๊อก
หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้วัตถุดิบไม่เสื่อมสภาพและล้าสมัยจนไม่สามารถจัดจำหน่ายได้

6. จัดสถานที่ให้ที่เหมาะสม และมีเอกสารการเบิกจ่ายสินค้าคงคลัง

การจัดสถานที่ให้ที่เหมาะสมในการเก็บสินค้า ต้องมีเอกสารการเบิกจ่ายสินค้าคงคลังนั้น เพื่อควบคุม
การซื้อและการเบิกจ่ายสินค้าคงคลังได้ โดยจะต้องออกแบบให้มีช่องอนุมัติสำหรับเบิกสินค้าคงเหลือได้
เพื่อควบคุมการรั่วไหลของสินค้าคงคลังนั่นเอง

7. จัดสถานที่ที่เหมาะสมในการเก็บสินค้าคงคลัง

การจัดสถานที่ที่เหมาะสมในการเก็บสินค้าคงคลัง จำเป็นจะต้องคำนึงถึงลักษณะการจัดวางรูปแบบสินค้า
และการวางสินค้าให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ทั้งในด้านความชื้นที่จะส่งผลกับตัวสินค้าหรือวัตถุดิบ
และความสะดวกต่อการขนย้าย

8. นำระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ควบคุมสต๊อก

ในกรณีที่เป็นธุรกิจขนาดกลางซึ่งมียอดขายสูง มีการผลิตสินค้าหลายแบบ และมีรายการที่เป็นวัตถุดิบ
จำนวนมาก จำเป็นที่จะต้องนำระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ควบคุมสต๊อกของสินค้าคงคลัง
เพื่อใช้ควบคุมและนำมาบริหารงาน

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) สำหรับธุรกิจ

เหตุผลที่ธุรกิจต้องจัดการสินค้าคงคลังด้วย ECOUNT ERP

1. สามารถควบคุมสินค้าคงคลังได้อย่างแม่นยำ

สามารถรู้จำนวนสินค้าที่มีอยู่จริงในสต็อก ช่วยให้วางแผนการสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้อย่างเหมาะสม
ลดความเสี่ยงในการขาดสินค้าหรือมีสินค้าค้างสต็อกมากเกินไป

2. ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

เพื่อให้มั่นใจว่าจำนวนสินค้าที่บันทึกไว้ในระบบบัญชีตรงกับจำนวนสินค้าจริงที่มีอยู่จริง
ซึ่งจะส่งผลต่อความถูกต้องของงบการเงิน

3. สามารถป้องกันการสูญหาย

ช่วยตรวจสอบว่ามีการสูญหายของสินค้าเนื่องจากการขโมย การชำรุดเสียหาย หรือความผิดพลาด
ในการบันทึกข้อมูลหรือไม่

4. ปรับปรุงระบบการจัดการสินค้าคงคลัง

ช่วยระบุปัญหาในระบบการจัดการสินค้าคงคลัง เช่น การขาดแคลนสินค้า สินค้าค้างสต็อกเกินไป
ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทางบัญชี

การตรวจนับสินค้าคงเหลือเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่กำหนดให้ธุรกิจต้องทำการ
ตรวจนับสินค้าอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ

6. ช่วยลดต้นทุน

เมื่อคุณรู้จำนวนสินค้าคงคลังที่แน่นอน คุณสามารถวางแผนการผลิตหรือการสั่งซื้อสินค้าได้
อย่างเหมาะสม ลดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าที่ไม่จำเป็น

7. สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การมีข้อมูลสินค้าคงคลังที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณต่อลูกค้า
ผู้ลงทุน และหน่วยงานภาครัฐ

บทสรุป

การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management) คือการวางแผน ดูแล และจัดการปริมาณสินค้าคงคลัง
อย่างเหมาะสม เพื่อให้กระบวนการผลิต การจัดเก็บ และการขายเป็นไปอย่างราบรื่น ลดปัญหาทุนจมหรือ
สินค้าขาดแคลน ปัจจุบัน การเน้นหมุนเวียนสินค้าตลอดเวลา ช่วยรักษาความสดใหม่และลดการสูญเสีย
จากการเก็บนานเกินไป การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพยังช่วยให้ธุรกิจเติบโต ทั้งในด้านการเงิน
และการดำเนินงาน โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การวางแผนความต้องการ การปรับปรุงระดับสต็อก
และการติดตามซัพพลายเออร์ เพื่อปรับกระบวนการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า